วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2558

การถ่ายทอดอารยธรรมจีนสู่ดินแดนต่างๆ

   อารยธรรมจีนแผ่ขยายขอบข่ายออกไปอย่างกว้างขวางทั้งในเอเชียและยุโรป อันเป็นผลมาจากการติดต่อทางการทูต การค้า การศึกษา ตลอดจนการเผยแผ่ศาสนา อย่างไรก็ตามลักษณะการถ่ายทอดแตกต่างกันออกไป ดินแดนที่เคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของจีนเป็นเวลานาน เช่น เกาหลี และเวียดนาม จะได้รับอารยธรรมจีนอย่างสมบูรณ์ ทั้งในด้านวัฒนธรรม การเมือง ขนบธรรมเนียมประเพณี การสร้างสรรค์ และการแสดงออกทางศิลปะ ทั้งนี้เพราะราชสำนักจีนจะเป็นผู้กำหนดนโยบายและบังคับให้ประเทศทั้งสองรับวัฒนธรรมจีนโดยตรง
     ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อารยธรรมจีนได้รับการยอมรับในขอบเขตจำกัดมาก ที่เห็นอย่างชัดเจนคือ การยอมรับระบบบรรณาการของจีน
      ในเอเชียใต้ ประเทศที่แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับจีนอย่างใกล้ชิด คือ อินเดีย พระพุทธศาสนามหายานของอินเดียแพร่หลายเข้ามาในจีนจนกระทั่งเป็นศาสนาสำคัญที่ชาวจีนนับถือ นอกจากนี้ศิลปะอินเดียยังมีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์ศิลปะบางอย่างของจีน เช่น ประติมากรรมที่เป็นพระพุทธรูป
     ส่วนภูมิภาคเอเชียกลางและตะวันออกกลางนั้น เนื่องจากบริเวณที่เส้นทางการค้าสานแพรไหมผ่านจึงทำหน้าที่เป็นสื่อกลางนำอารยธรรมตะวันตกและจีนมาพบกัน อารยธรรมจีนที่เผยแพร่ไป เช่น การแพทย์ การเลี้ยงไหม กระดาษ การพิมพ์ และดินปืน เป็นต้น ซึ่งชาวอาหรับจะนำไปเผยแพร่แก่ชาวยุโรปอีกต่อหนึ่ง
 



ศิลปกรรมจีน 

ส่วนใหญ่จะสะท้อนถึงชีวิต สังคม ธรรมชาติ การแสวงหาสัจธรรมและอุดมคติของชีวิต 
โดยจะแบ่งเป็น 4 แขนงด้วยกัน
1. จิตรกรรม
-  มีวิวัฒนาการมาจากการเขียนตัวอักษรจีนจารึกบนกระดูกเสี่ยงทายเพราะตัวอักษรจีนมีลักษณะเหมือนรูปภาพ
                                                             
 -  งานจิตรกรรมจีนรุ่งเรืองมากในสมัยราชวงศ์ฮั่น มีการเขียนภาพและแกะสลักบนแผ่นหิน ที่นิยมมากคือ การเขียนภาพ 
    บนผ้าไหม ภาพวาดเป็นเรื่องเล่าในตำราขงจื๊อพระพุทธศาสนาและภาพธรรมชาติ
-  สมัยราชวงศ์ถัง มีการพัฒนาการใช้พู่กันสีและกระดาษภาพส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากพระพุทธศาสนาและลัทธิเต๋า
-  สมัยราชวงศ์ซ่ง จิตรกรรมจัดว่ารุ่งเรืองมาก ภาพวาดมักเป็นภาพมนุษย์กับธรรมชาติ ทิวทัศน์ ดอกไม้ โดยเชื่อมโยง
    เข้ากับบทกวีนิพนธ์
Copy_of_ca_020_006Copy_of_ca_018_001
-  บิดาแห่งจิตรกรรมจีน คือ กู่ไค่จิ้น

2. ประติมากรรม
-  ส่วนใหญ่เป็นเครื่องปั้นดินเผามีอายุเก่าแก่ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ทำจากดินสีแดง มีลวดลาย แดง ดำ และขาว
    เป็นลวดลายเรขาคณิต และภาชนะสำริดเป็นหม้อสามขา
- มีการปั้นหุ่นดินเผาเป็นรูปทหารที่มีการแสดงอารมณ์ออกทางใบหน้าที่ไม่เหมือนกัน ขนาดเท่าของจริงไว้ในสุสาน
  ของจักรพรรดิจิ๋นซี ในเมืองซีอาน สร้างเมื่อปลายราชวงศ์โจวถึงราชวงศ์ฉิน

                    

-  สมัยราชวงศ์ชาง มีการแกะสลักงาช้าง หินอ่อน และหยกตามความเชื่อและความนิยมของชาวจีน ที่เชื่อว่า หยกทำให้
    เกิดความเป็นสิริมงคล ความสุขสงบ ความรอบรู้ ความกล้าหาญ
-  สมัยราชวงศ์ถัง มีการพัฒนาเครื่องเคลือบดินเผาเป็นเคลือบ 3 สีคือ เหลือง น้ำเงิน เขียว และสีเขียวไข่กามีชื่อเสียงมาก
    ในสมัยราชวงศ์ซ้อง
-  พระพุทธรูปนิยมสร้างในสมัยราชวงศ์ถัง ทั้งงานหล่อสำริดและแกะสลักจากหิน ซึ่งมีสัดส่วนงดงาม 
   เป็นการผสมผสานระหว่างศิลปะอินเดียและจีนที่มีลักษณะเป็นมนุษย์มากกว่า เทพเจ้ามีการตกแต่ง
   อาภรณ์และเครื่องประดับด้วย นอกจากนี้มีการปั้นรูปพระโพธิสัตว์กวนอิม พระศรีศากยะมุนี 
   และพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร

-  สมัยราชวงศ์หมิง เครื่องเคลือบได้พัฒนาจนกลายเป็นสินค้าออก คือ เครื่องลายครามและลายสีแดง 
    ถึงราชวงศ์ชิง เครื่องเคลือบจะนิยมสีสันสดใส เช่น เขียว แดง ชมพู

3. สถาปัตยกรรม
-  กำแพงเมืองจีน สร้างในสมัยราชวงศ์ฉิน เพื่อป้องกันการรุกรานของชาวมองโกล แต่อีกความเชื่อหนึ่ง เชื่อว่าสร้างเพื่อไม่ให้ชาวจีนหนีออกจากประเทศ

-  เมืองปักกิ่ง สร้างในสมัยราชวงศ์หงวน โดยกุบไลข่าน ซึ่งได้รับการยกย่อง
ทางด้านการวางผังเมือง


- ส่วนพระราชวังปักกิ่งสร้างในสมัยราชวงศ์เหมิง

-  พระราชวังฤดูร้อน สร้างในสมัยราชวงศ์ซ่ง โดยพระนางซูสีไทเฮา ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่ผสมผสาน
   ระหว่างยุโรปและจีนโบราณ

                                                        
-  สุสานในสมัยราชวงศ์ฮั่น โดยขุดเจาะบริเวณเนินเขาลึกลงไปใต้ดิน มีอุโมงค์ทางเดินทอดยาว
   แบ่งเป็นห้องต่างๆมากมาย

4. วรรณกรรม
-  สามก๊ก สันนิษฐานว่าเขียนในคริสต์ศตวรรษที่ 14 เป็นเรื่องราวของความแตกแยกในจีนตั้งแต่
   ปลายสมัยราชวงศ์วงฉินจนถึงราชวงศ์ฮั่น
-  ซ้องกั๋ง เป็นเรื่องประท้วงสังคม เรื่องราวความทุกข์ของผู้คนในมือชนชั้นผู้ปกครอง สะท้อนความทุกข์
   ของชาวจีนภายใต้การปกครองของพวกมองโกล
-  ไซอิ๋ว เป็นเรื่องราวการเดินทางไปนำพระสูตรจากสวรรค์ทางตะวันตกมายังประเทศจีน
-  จินผิงเหมย หรือดอกบัวทอง แต่งขึ้นในราวคริสต์ศตวรรษที่ 16-17 เป็นนิยายเกี่ยวกับสังคมและชีวิต     ื      
    ครอบครัว เป็นเรื่องของชีวิตที่ร่ำรวย มีอำนาจขึ้นมาด้วยเล่ห์เหลี่ยม แต่ด้วยการทำชั่วและผิดศีลธรรม
    ในที่สุดต้องได้รับกรรม
-  หงโหลวเมิ่ง หรือ ความฝันในหอแดง เด่นที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 18 เรื่องราวเต็มไปด้วย
   การแก่งแย่งชิงดี อิจฉาริษยากัน ผู้อ่านจะรู้สึกเศร้าสลดต่อชะตาชีวิตของพระเอกนางเอกเนื้อเรื่อง
   สะท้อนให้เห็นสังคมศักดินาของจีนที่กำลังเสื่อมโทรมก่อนการเปลี่ยนแปลงสังคมเข้าสู่ ยุคใหม่
-   บันทึกประวัติศาสตร์ ของ สื่อหม่าเฉียน  เป็นงานเขียนทางประวัติศาสตร์ที่มีแบบแผน
    แต่งแต่จีนในสมัยโบราณจนถึงราชวงศ์ฮั่น
สังคมและวัฒนธรรมจีน
1. ระบบที่ดิน
         จักรพรรดิจะเป็นผู้พระราชทานที่ดินให้แก่ขุนนางต่างๆ แล้วขุนนางพวกนั้นก็จะยกที่ให้สามัญชน
ชาวนาเพาะปลูก โดนผลผลิต 1 ใน 9 จะต้องยกให้กับเจ้าของที่ดิน เรียกระบบนี้ว่า ระบบบ่อนาหรือ
ระบบนาเฉลี่ย โดยรัฐจะเป็นผู้แบ่งที่ดินให้กับชาวนา โดยเมื่อชาวนาถึงแก่กรรมจะต้องยกที่ดินครึ่งหนึ่ง
ให้รัฐคืน ส่วนที่เหลือสามารถสืบทอดเป็นมรดกได้
2. ลัทธิขงจื๊อ
 เป็นนักคิดและนักปรัชญาสังคมที่มีชื่อเสียงของจีน คำสอนของขงจื๊อนั้น ฝังรากอิทธิพลลึกลงไปในสังคม
เอเชียตะวันออกมาเป็นเวลาถึง 20 ศตวรรษ หลักปรัชญาของขงจื๊อนั้นและ ความยุติธรรมและบริสุทธิ์ใจ
เน้นเกี่ยวกับศีลธรรมส่วนตัว และศีลธรรมในการปกครอง ความถูกต้องเหมาะสมของความสัมพันธ์ในสังคม
ศาสตร์สี่แขนง ที่ขงจื๊อวางรากฐานไว้ ได้แก่ วัฒนธรรม ความประพฤติ ความจงรักภักดีและ ความซื่อสัตย์
โดยวัฒนธรรมเน้นถึงการเคารพบรรพบุรุษและพิธีการโบราณ ยึดถือผู้อาวุโสเป็นหลัก แต่ไม่ยึดติด
หรืออายที่จะหาความรู้จากคนที่ต่ำชั้นหรืออายุน้อยกว่า
3. ลัทธิเต๋า
-  เป็นลัทธิและศาสนาที่เกี่ยวข้องกับการมีชีวิตอยู่กับธรรมชาติโดยคำว่า เต๋า แปลว่า "หนทาง"
-  เล่าจื๊อเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งที่ได้เขียนข้อความสื่อถึงเต๋าในชื่อหนังสือว่าเต๋าเต็กเก็ง(Tao TeChing)
-  หยินหยาง ยังมีชื่อเรียกอีกว่า คติทวินิยม  หมายถึง ธรรมชาติที่เป็นของคู่ตรงกันข้าม สิ่งที่เป็นของคู่
    อันพึ่งทำลาย ของคู่อันทำให้สมดุล ธรรมชาติประกอบด้วยของคู่
  1. หยาง คือพลังบวกมีลักษณะสีแดง เป็นพลังเพศชาย พบในทุกสิ่งทุกอย่างที่ให้ความอบอุ่น สว่างไสว มั่นคง สดใส เช่น ดวงอาทิตย์ ไฟ ฯลฯ
  2. หยิน คือพลังลบ มีลักษณะสีดำ เป็นพลังเพศหญิง พบในทุกสิ่งทุกอย่างที่ให้ความหนาวเย็น ความมืด อ่อนนุ่ม ชื้นแฉะ ลึกลับ และเปลี่ยนแปลง เช่น เงามืด น้ำ ฯลฯ
4.  ลัทธินิติธรรมหรือฟาเฉีย
      เกิดขึ้นในปลายสมัยราชวงศ์โจว มีความเชื่อว่ามนุษย์เป็นคนมีกิเลสตัณหา จึงต้องมีการลงโทษ
ผู้กระทำผิด เลยเป็นต้นกำเนิดของกฎหมายจีนในเวลาต่อมา
5. พระพุทธศาสนา
      พระพุทธศาสนาได้เข้ามาในประเทศจีนดังได้ปรากฏในหลักฐาน เมื่อประมาณพุทธศักราช 608
ในสมัยของพระจักรพรรดิเม่งเต้แห่งราชวงศ์ฮั่น พระได้จัดส่งคณะทูต 18 คน ไปสืบพระพุทธศาสนา
ในอินเดีย คณะทูตชุดนี้ได้เดินทางกลับประเทศจีนพร้อมด้วยพระภิกษุ 2 รูป คือ พระกาศยปมาตังคะ
และพระธรรมรักษ์ รวมทั้งคัมภีร์ของพระพุทธศาสนาอีกส่วนหนึ่งด้วย เมื่อพระเถระ 2 รูป พร้อมด้วย
คณะทูตมาถึงนคร    โลยาง พระเจ้าฮั่นเม่งเต้ ได้ทรงสั่งให้สร้างวัดเพื่อเป็นที่อยู่ของพระทั้ง 2 รูปนั้น
ซึ่งมีชื่อว่า วัดแป๊ะเบ๊ยี่ แปลเป็นไทยว่า วัดม้าขาว เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ม้าตัวที่บรรทุกพระคัมภีร์
ทางพระพุทธศาสนากับพระเถระทั้งสอง หลังจากนั้นพระปาศยมาตังตะ กับพระธรรมรักษ์ได้แปลคัมภีร์
พระพุทธศาสนาเป็นภาษาจีนเล่มแรก

                                                         

ความก้าวหน้าทางวิทยาการของจีน
 1. ดาราศาสตร์และปฏิทิน 




  ประเทศ จีนนับเป็นประเทศแรกของโลกที่มีการคำนวณหาระยะพิกัดดวงดาวจากเส้นศูนย์สูตร 
เนื่องจากแนวคิดทาง คนจีนสมัยก่อน มีการบันทึกเรื่องราวบนฟ้ามากมาย เช่น การเกิดสุริยุปราคา         
จันทรุปราคา มนุษย์นอกโลก แผนที่ดาว หรือแม้กระทั่งมีการบันทึกดาวหางแบบต่างๆ 
และปฎิทินมีการใช้ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชาง

2. อักษรจีน

การปรากฎของอักษรจีนที่เก่าแก่ที่สุดนั้น ค้นพบที่เมืองซีอาน มณฑลส่านซี ทางตะวันตกเฉียงเหนือ
ของจีน เมื่อประมาณ 5,000 ปี มาแล้ว โดยอยู่ในรูปของอักษรภาพที่แกะสลักเป็นวงกลม พระจันทร์เสี้ยว
และ ภูเขาห้ายอด บนเครื่องปั้นดินเผา จวบจนเมื่อ 3,000 ปี ก็ได้เปลี่ยนรูปแบบเป็น อักษรที่จารึก
บนกระดูกสัตว์นั่นเอง ซึ่งเป็นยุคต้นศิลปะการเขียนของจีน

หากเรียงลำดับวิวัฒนาการจะได้ดังนี้
·  อักษรจารึกบนกระดูกสัตว์เจี๋ยกู่เหวิน
เป็นอักษรโบราณที่เก่าแก่ที่สุดในจีน ตั้งแต่มีการค้นพบมา โดยอยู่ในรูปแบบ ของการทำนาย 
ที่ใช้มีดแกะสลักลงบนกระดูกของเต่า

· อักษรโลหะ หรือ จินเหวิน

เป็นอักษรที่เกิดในราชวงศ์ชาง-ราชวงศ์โจว มีลักษณะพิเศษคือ ลายเส้นจะมีความหนาและ
ชัดเจนมากเพราะได้จากากรหลอมของโลหะ ไม่ใช่การแกะสลัก
                                                                
·       อักษรจ้วนเล็ก

จากสมัยชุนชินจั้นกว๋อ จนถึงราชวงศ์ฉินอักษรจีนได้คงรูปแบบเดิมไว้อยู่จากราชวงศ์โจวตะวันตก 
ภายหลังหลังจากจิ๋นซีฮ่องเต้รวบรวมแผ่นดินจีนเข้าด้วยกัน ในปี ค.ศ.221 แล้วก็ได้เกิดการปฎิรูป
ตัวอักษรจีนครั้งใหญ่ อักษรที่ผ่านการปฎิรูปนี้ ได้ใช้กันทั่วประเทศจีนเป็นครั้งแรกเรียกว่าอักษรจ้วนเล็ก
                                                                
· อักษรลี่ซู
ขณะ ที่ราชวงศ์ฉินมีการประกาศใช้อักษร จ้วนเล็กแล้ว ก็ได้มีการให้ใช้อักษรลี่ซูควบคู่กันไป 
โดยอักษรลี่ซู พัฒนามาจาก อักษรจ้วนเล็กอย่างง่าย อักษรลี่ซูทำให้อักษรจีน ก้าวเข้าสู่อักษร
สัญลักษณ์ อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งไม่ใช่อักษรภาพเหมือนยุคแรก
                                                                      
· อักษรข่ายซู
เป็นอักษรที่ใช้กันแพร่หลายจนถึงปัจจุบัน เป็นเส้นลักษณะที่เกิดขึ้นภายใต้กรอบสี่เหลี่ยม 
หลุดพ้นจากอักษรภาพ ยุคโบราณอย่างสิ้นเชิง
                                                                    
· อักษรเฉ่าซู
เกิดจากการที่นำลายเส้นที่มีอยู่แต่เดิม มาย่อเหลือเพีงขีดเดียว โดยฉีกรูปแบบที่จำเจของอักษร
ภายใต้กรอบสี่เหลี่ยมที่มีแต่เดิมออกไป 
                                                     

· อักษรสิงซู 

มีรูปแบบระหว่าง ข่ายซู กับ เฉ่าซู ผสมกัน หรือ อาจกล่าวได้ว่าเป็นอักษรที่เขียนตวัด อย่างบรรจง 
กำหนดขึ้นใน ปลายราชวงศ์ฮั่น ทางตะวันออก
                                                                 
3กระดาษและการพิมพ์ 
·กระดาษ
วัฒนธรรม และงานของมนุษย์มีผลมาจากการที่การพิมพ์ก้าวหน้า และการพิมพ์ก็ต้องใช้กระดาษ
ในการพิมพ์ ชาวจีนนั้นภูมใจมาก ที่ได้เป็นผู่คิดค้นกระดาษขึ้นมา แต่เดิมนั้นชาวจีนเขียนหนังสือลง
บนไม้ไผ่ และต่อมาในราชวงศ์ฉิน และ ฮั่น ผู้คนต่างลงความเห็นว่า การเขียนลงบนไม้ไผ่นั้น
ไม่สะดวก จึงเปลี่ยมาเขียนลงบน ผ้าไหมแทน แต่ว่าผ้าไหมนั้นมีราคาแพงมาก ในราชวงศ์ฮั่น 
มีบุคคลชื่อว่า ใช่หลุน ได้ค้นพบวิธี นำเปลือกไม้ และ เศษผ้ามาทำเป็นกระดาษ ซึ่งจักพรรดิ์ฮั่นเหอตี้
ทรงโปรดมากเพราะผู้คนทั่วโลกได้ใช้กระดาษของเขา เขาจึงเรียกชื่อกระดาษนี้ว่า กระดาษ ใช่หลุน
·การพิมพ์
เทคนิคการพิมพ์ถือเป็น1 ใน 4สุดยอดสิ่งประดิษฐ์ของจีน   ซึ่งมีมาต้นกำเนิดในสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ 
ค.ศ1041-1048 เช่นเดียวกัน เทคนิคการใช้แม่พิมพ์สลัก อนึ่งมีการถกเถียงกันว่าประเทศใดเป็นผู้ค้นพบ
เทคนิคนี้ เนื่องจากปี 1968 เกาหลีใต้ได้มีการค้นพบบันทึกอู่โก้วจินกังจิง ทำให้เกิดข้อถกเถียงระหว่าง
ประเทศ แต่จีนเองก็มีงานพิมพ์ที่เก่าแก่กว่านั้นเสียอีก จีนจึงได้รับการเชื่อถือว่าเป็นผู้คิดค้นเทคนิคนี้
ครั้งแรก
4.  การแพทย์
ในราชวงศ์ฮั่นนั้นถือว่าได้มีการบันทึกประวัติศาสตร์ทางการแพทย์ยาวนานที่สุด และมีประสบการณ์   
และทฤษฎีมากที่สุด  การแพทย์โบราณของจีนนั้นถือกำเนิดมาจากบริเวณลุ่มแม่น้ำเหลืองของจีน
ได้กำหนดแพทย์ชื่อดังจำนวนมาก และตำราแพทยศาสตร์ที่สำคัญมากมาย ได้ มีการบันทึก   
การรักษาพยาบาล และโรคมากมายลงบนกระดูก กระดองเต่า จนมาถึงราชวงศ์โจว เริ่มมีการตรวจ
วินิจฉัย4 อย่าง คือ มอง ฟัง ถาม และ แมะ ตลอดจน วินิจฉัยโรคต่างๆ และมีการจ่ายยา
และการฝังเข็ม เป็นต้น
ในสมัยราชวงศ์ฉินและฮั่น นั้นได้มีบทประพันธ์ที่มีระบบชื่อว่า” หวาง ตี้ เน่ย จิง” ถือเป็นตำรา
ทางการแพทย์ที่เก่าแก่ที่สุด เมื่อถึงราชวงศ์ฮั่น แพทย์ศัลยกรรมเริ่มมีชื่อเสียงมากอยู่แล้ว 
และได้เริ่มมีการใช้ยา “ หมา เฟ่ย ส่าน ”เพื่อใช้เป็นยาสลบ เพื่อลดความเจ็บปวดในการผ่าตัด 
และ ในราชวงศ์ซ่งนั้น การฝังเข็มได้มีการปฎิรูป ครั้งสำคัญตั้งแต่ ราชวงศ์หมิงเป็นต้นมา
แพทย์ศาสตร์ ของตะวันตกได้เข้าไปยังประเทศจีน นับเป็นจุดเริ่มต้น ของการนำแพทย์ศาสตร์
ตะวันตก กับจีน เข้าด้วยกัน

       
         การฝังเข็มเป็นส่วนสำคัญในการรักษาของแพทย์แผนจีนโบราณ ซึ่งเริ่มแรกเป็นเพียงการรักษา
ขั้นพื้นฐาน ต่อมาได้พัฒนาเป็นสาขาวิชาการฝังเข็มนั้นมีประวัติยาวนาน หนังสือโบราณได้เคยเอ่ยถึ
เข็มที่ทำมากจากหิน ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการรักษา เรียกว่า “เข็มหิน” ซึ่งเกิดในสมัยยุคหินใหม่ 
ซึ่งห่างจากยุคปัจจุบัน 8,000-4,000ปี ซึ่งอยู่ในระบบชาติกุลคอมมูน และเมื่อมีเทคโนโลยีใน
การหลอมเข้ามา ก็ได้มีการหลอมเข็มเพื่อใช้ในประโยชน์ต่างๆมากมาย
         ในสมัย ค.ศ.256-589 นั้นได้มีตำราเกี่ยวกับการฝังเข็มมากมายอย่างเห็นได้ชัด จนสมัยนี้
การฝังเข็มได้แพร่ไปยัง เกาหลี และ ญี่ปุ่นแล้ว
         ในศตวรรษที่ 16 การฝังเข็มได้เผยแพร่ไปถึงยุโรป นับตั้งแต่ สาธารณรัฐประชาชนจีนได้
สถาปนาขึ้นใน ค.ศ.1949 เป็นต้นมาการฝังเข็มนั้นพัฒนาไปอย่างมาก ได้มีการจัดแผนกเข็ม
ในโรงพยาบาล และให้ความสำคัญกับภูมิปัญญานี้อย่างมากมาย จึงทำให้ภูมิปัญญานี้
ไม่อาจถูกลบเลือนได้ มิหนำซ้ำ ยังได้ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกอีกด้วย
5. ความรู้ทางวิศวกรรมโลหะ
- สมัยราชวงศ์ชางเมื่อ3,000 ปีมาแล้ว ประชาชนจีนได้รู้จักการถลุงสำริด และยังรู้จักใช้เหล็ก
ในสมัยชุนชิว ได้ปรากฎเทคนิคการถลุงเหล็กกล้า ควบคู่ไปกับการเกษตรกรรม จึงทำให้เกิดชลประทาน
ตูเจียงแย่น ที่มีชื่อเสียงมาจนถึงปัจจุบัน
- สมัยราชวงศ์ซ่งได้มีการพัฒนาด้านถ่านหิน และ การหลอมเหล็กกล้ามาก จีนได้สร้างอาวุธมากมาย  
ก๋งชูจื่อ เป็นวิศวกรที่ใครๆ ในสมัยนั้นรู้จักกันดี ซึ่งได้สร้างสิ่งประดิษฐ์ที่น่าสนใจคือ “ นกพยนต์ “
ซึ่งประดิษฐ์มาจากไม่ไผ่ซึ่งสามารถบินได้สามวันสามคืนไม่ตกพื้นเลย เพราะใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์
โดยการใช้วงเวียนและไม้ฉาก ซึ่งบ่งบอกมาตราฐานทางวิทยาศาสตร์ของจีนได้เป็นอย่างดี
6. การต่อเรือ
       กำเนิด และวิวัฒนาการของเรือสำเภาจีนไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าเรือนี้มีอายุเท่าใด และรูปร่าง
ลักษณะของ เรือที่แตกต่างกันนั้นได้เริ่มมีมาตั้งแต่เมื่อใด การศึกษาสิ่งต่าง ๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้นในทางประวัติศาสตร์ มิได้ช่วยให้พบหลักฐานใดๆ เกี่ยวกับ “เรือสำเภา” แบบดั้งเดิมเลย
        ปีเอตรี ได้อ้างถึงตำราของชาวจีนที่เก่าแก่เล่มหนึ่ง ซึ่งเขียนขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 1 กล่าวว่าวิธี
การต่อ “เรือสำเภา” นั้น มีมาแต่สมัยโบราณในอ่าวเปอร์เชีย และชาวเปอร์เชียหรือชาวอินเดียเป็นผู้ใช้
เรือนี้เป็นครั้งแรกเพื่อเดินเรือ ไปยังทะเลจีนทั้งนี้ก็เป็นการยากที่จะเชื่อได้ว่าชาวเปอร์เชียหรือชา
อินเดียก็ดีที่ได้ต่อเรือใบนี้ขึ้นแล้วจะเลิกแบบอย่างที่ดีนี้เสียโดยไม่ ทิ้งหลักฐานในทางโบราณคดีไว้เลย    
         การสร้างเรือสำเภาจีนโดยใช้ผนังกั้นเป็นห้องหลายๆห้อง และกันน้ำได้นี้นับว่ามีความสำคัญมาก
และเป็นเวลา ก่อนที่ชาวยุโรปจะรู้จักและนำเอามาใช้ต่อเรือเหล็ก ในศตวรรษที่ 19 หลายพันปี
         ชาวจีนเป็นผู้ประดิษฐ์ใบแขวนชนิดห้อยและมีพรวนใบ แต่เรือชนิดอื่นไม่เคยนำไปใช้กันเลย
นอกจากชาวยุโรปและชาวอเมริกันที่ได้นำมา ใช้กับเรือยอชท์และเรือใบแข่งขันเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง
7. ดินปืน 
         ดินปืนเป็น หนึ่งในสิ่งประดิษฐ์อันยิ่งใหญ่ของจีนอีกเช่นกัน หลักฐานของจีนมีอยู่ว่า การประดิษฐ์
ดินปืนนั้นสืบเนื่องมาจาก ในป่าลึกทางตะวันตกของจีนมีผีป่าน่ากลัว ชื่อซันเซา ผู้ใดพบก็จะมีอาการจับไข้
 หากนำไม้ใผ่มาตัดเป็นข้อปล้องโยนเข้าไปในกองไฟ จะเกิดเสียงดังเปรี้ยงปร้าง ซันเซาก็จะตกใจหนีไป 
คืนส่งท้ายปีเก่าของจีนจึงนิยมจุดประทัดเพื่อขับไล่ผีซันเซานี่เอง ภายหลังมีการนำเอาดินประสิว
และกำมะถันมาห่อรวมกันในกระดาษทำให้เป็นประทัด นั่นคือการเริ่มต้นใช้ดินปืน 
ส่วนประกอบสำคัญของดินปืน คือ ดินประสิวกำมะถัน และผงถ่าน
                                                               
          สมัยซ้องมีการนำดินปืนมาประดิษฐ์อาวุธยุทโธปกรณ์ โดยเฉพาะสมัยซ้องใต้มีการนำมา
ใช้มากขึ้นไปอีก เกี่ยวกับการประดิษฐ์ดินปืน และทำกระดาษนี้ มีตำราเล่มหนึ่งบันทึกเรื่องเหล่านี้เอาไว้
เช่น ปลายสมัยราชวงศ์หมิง ซ่งอิ้งซิง ได้เขียนตำรา เทียนกงไคอู้ บรรยายการวิเคราะห์
อุตสาหกรรมเคมีสมัยจีนโบราณทั้งมีภาพประกอบ นับว่าเป็นหนังสือที่มีคุณค่ามาก
8. คณิตศาสตร์และการคำนวณ 
           จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของจีน ได้มีการขุดพบ อักษรจารึกบนกระดูกสัตว์ในสมัยชาง
และได้มีการจารึกตัวเลข 1-10 จนถึง ร้อย พัน  หมื่น สูงสุดกว่า 20,000 หลังจากนั้นมาวิธีการนับตัวเลข
ก็มีความก้วนหน้าตามลำดับ โดยการใช้เบี้ย และ ลูกคิดในการคำนวณ