อารยธรรมจีนสมัยก่อนประวัติศาสตร์
ความเป็นไปของประเทศจีนในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ล้วนแต่ได้มาโดยการสันนิษฐานและการอ้างตามซากวัตถุที่นักโบราณคดีขุดพบขึ้น แล้วมาตั้งเป็นทฤษฏี จีนเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมเก่าแก่มากที่สุดประเทศหนึ่ง แต่แม้กระทั่งปัจจุบันวัฒนธรรมของจีนไม่ได้สูญสิ้นไปกับการเวลาเหมือนกับวัฒนธรรรมที่เก่าแก่อื่นๆ ของโลก ตรงกันข้ามจีนกำลังสร้างความเป็นเอกภาพให้ตนเอง ไม่ทราบแน่ชัดว่าประวัติศาสตร์จีนถือกำเนิดเมื่อไหร่ แต่ตามทฤษฏีได้รับการยอมรับเชื่อว่า เกิดขึ้นในยุคน้ำแข็งตั้งแต่ประมาณ 350,00 – 400,000 ปีมาแล้ว ทั้งนี้โดยอ้างจากซากของมนุษย์ปักกิ่งที่ค้นพบทางตอนใต้ของจีน เรียกซากดึกดำบรรพ์ของมนุษย์วานรยุคแรกว่า “รามาปิเทคุส” หลังจากสิ้นสุดยุคน้ำแข็งได้มีการรวมตัวกันขึ้นในบริเวณที่ราบอุดมสมบูรณ์ของแม่น้ำเหลือง จากนั้นชาวจีนได้เริ่มสร้างสังคมเมืองแบบพื้นฐาน
ความเป็นไปของประเทศจีนในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ล้วนแต่ได้มาโดยการสันนิษฐานและการอ้างตามซากวัตถุที่นักโบราณคดีขุดพบขึ้น แล้วมาตั้งเป็นทฤษฏี จีนเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมเก่าแก่มากที่สุดประเทศหนึ่ง แต่แม้กระทั่งปัจจุบันวัฒนธรรมของจีนไม่ได้สูญสิ้นไปกับการเวลาเหมือนกับวัฒนธรรรมที่เก่าแก่อื่นๆ ของโลก ตรงกันข้ามจีนกำลังสร้างความเป็นเอกภาพให้ตนเอง ไม่ทราบแน่ชัดว่าประวัติศาสตร์จีนถือกำเนิดเมื่อไหร่ แต่ตามทฤษฏีได้รับการยอมรับเชื่อว่า เกิดขึ้นในยุคน้ำแข็งตั้งแต่ประมาณ 350,00 – 400,000 ปีมาแล้ว ทั้งนี้โดยอ้างจากซากของมนุษย์ปักกิ่งที่ค้นพบทางตอนใต้ของจีน เรียกซากดึกดำบรรพ์ของมนุษย์วานรยุคแรกว่า “รามาปิเทคุส” หลังจากสิ้นสุดยุคน้ำแข็งได้มีการรวมตัวกันขึ้นในบริเวณที่ราบอุดมสมบูรณ์ของแม่น้ำเหลือง จากนั้นชาวจีนได้เริ่มสร้างสังคมเมืองแบบพื้นฐาน
ในยุคหินใหม่ ชุมชนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ราบลุ่มน้ำหวางเหอได้สร้างสรรค์วัฒนธรรม ‘หยางเชา’ ขึ้น และอีกชุมชนหนึ่งอยู่บริเวณมณฑลซานดุง ได้สร้างสรรค์วัฒนธรรมที่เรียกว่าวัฒนธรรม ‘หลงชาน’ ขึ้น ทั้งสองวัฒนธรรมกำหนดอายุได้ประมาณ 5,000 ปีถึง 2,000 ปีก่อนคริสต์ศักราชตามลำดับ
ในยุคก่อนประวัติศาสตร์นั้นไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเริ่มต้นเมื่อไร แต่จากการขุดพบวัตถุโบราณบริเวณลุ่มน้ำฉางเจียงและหวางเหอ แบ่งช่วงเวลานี้ออกได้เป็นสังคม 2 แบบ แบบแรกคือ ช่วงที่ผู้หญิงเป็นใหญ่ เรียกว่า วัฒนธรรมหยางเชา และช่วงที่ผู้ชายเป็นใหญ่ เรียกว่า วัฒนธรรมหลงชาน ตามตำนาน เล่ากันว่าบรรพบุรุษจีนมีชื่อเรียกว่า หวางตี้ และ เหยียนตี้
อารยธรรมลุ่มแม่น้ำฮวงโห
พบความเจริญที่เรียกว่า ”วัฒนธรรมหยางเชา” พบหลักฐานคือเครื่องปั้นดินเผาลายเขียนสีจำนวนมากที่มีความงดงามและมีความประณีตในการตกแต่ง ลายที่เขียนมักเป็นลายเรขาคณิต พืช นก สัตว์ต่างๆ และภาพใบหน้ามนุษย์ สีที่ใช้เป็นสีดำหรือสีม่วงเข้ม วัฒนธรรมนี้ได้สืบทอดมาจนถึงสมัยสำริดและสมัยประวัติศาสตร์
อารยธรรมลุ่มแม่น้ำแยงซี
เป็นชื่อเรียกโดยรวมของอารยธรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเขตลุ่มแม่น้ำแยงซี เมื่อรวมกับอารยธรรมลุ่มแม่น้ำฮวงโหแล้วก็นับเป็นอารยธรรมสองลุ่มแม่น้ำหลักของประเทศจีน อารยธรรมลุ่มแม่น้ำแยงซีกินพื้นที่กว้างใหญ่ โบราณสถานทางวัฒนธรรมมีจำนวนมากและมีความหนาแน่นสูง ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นที่สุดในโลก อารยธรรมลุ่มแม่น้ำแยงซี โดยเฉพาะ “วัฒนธรรมการปลูกข้าว” ที่เป็นหนึ่งในอารยธรรมลุ่มแม่น้ำแยงซีนั้น ส่งผลกระทบอย่างมากต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกและทั่วโลก อารยธรรมโบราณของลุ่มแม่น้ำแยงซีและลุ่มแม่น้ำฮวงโหได้ผสมผสานหลอมรวมกันเป็นเวลานาน จนกระทั่งกลายเป็นอารยธรรมประชาชาติจีน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น