วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ราชวงษ์โจว
       
    • แนวความคิดด้านการปกครอง เชื่อเรื่องกษัตริย์เป็น “โอรสแห่งสวรรค์ สวรรค์มอบอำนาจให้มาปกครองมนุษย์เรียกว่า “อาณัตแห่งสวรรค์
    • เริ่มต้นยุคศักดินาของจีน
    • เกิดลัทธิขงจื๊อ ที่มีแนวทาง
      • เป็นแนวคิดแบบอนุรักษ์นิยม
      • เน้นความสัมพันธ์และการทำหน้าที่ของผู้คนในสังคม ระหว่างจักรพรรดิกับราษฎร บิดากับบุตร พี่ชายกับน้องชาย สามีกับภรรยา เพื่อนกับเพื่อน
      • เน้นความกตัญญู เคารพผู้อาวุโส ให้ความสำคัญกับครอบครัว
      • เน้นความสำคัญของการศึกษา
    • เกิดลัทธิเต๋า โดยเล่าจื๊อ ที่มีแนวทาง
      • เน้นการดำเนินชีวิตที่เรียบง่าย ไม่ต้องมีระเบียบแบบแผนพิธีรีตองใดใด
      • เน้นปรับตัวเข้าหาธรรมชาติ
      • ลัทธินี้มีอิทธิพลต่อศิลปิน กวี และจิตรกรจีน
    • คำสอนทั้งสองลัทธิเป็นที่พึ่งทางใจของผู้คน
        ราชวงศ์โจว หรือ ราชวงศ์จิว  ราชวงศ์ที่ 3 ในประวัติศาสตร์จีน เริ่มประมาณ 1123 ปีก่อนคริสต์ศักราช - 256 ปีก่อนคริสต์ศักราช นับเป็นราชวงศ์ที่ยาวนานที่สุด ด้วยเวลาที่ยาวนานกว่า 867 ปี มีเรื่องราวต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย เช่นการสู้รบระหว่างแว่นแคว้น การกำเนิดของปรัชญาเมธีหลายท่าน เช่น ขงจื๊อเล่าจื๊อซุนวู เป็นต้น ในยุคชุนชิว

กำเนิดราชวงศ์โจว

                เขตแดนราชวงศ์โจว ยุคราชวงศ์โจวตะวันตก (ราว 1050 ปีก่อนคริสต์ศักราช – 771 ปีก่อนคริสต์ศักราช)


โจวอู่หวัง ได้โค่นราชวงศ์ซางลงแล้ว ได้ตั้งราชวงศ์โจวขึ้นแทน ได้เริ่มการปกครองด้วยระบบศักดินา คือแยกแผ่นดินออกเป็นแคว้นต่าง ๆ แล้วส่งเชื้อพระวงศ์แซ่ "จี" ของพระองค์ให้เป็น" อ๋อง" ไปปกครอง โดยพระองค์เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด ในยุคของราชวงศ์นี้สร้างความเจริญให้แก่บ้านเมืองมาก ทั้งด้านการเมือง การปกครอง ศิลปวัฒนธรรม ฯลฯ แต่มีช่วงเวลา ที่เข้มแข็งจริง ๆ คือราว ๆ 350 ปีก่อนคริสต์ศักราช ที่เรียกว่า ราชวงศ์โจวตะวันตก หรือ ซีโจว(Western Zhou) ที่มีเมืองหลวง คือ เฮ่าจิง
ต่อมา สมัยของโจวอิวหวาง กษัตริย์องค์ที่ 12 ซึ่งหลงใหลมเหสีมาก มเหสีมีนามว่า เปาสี กล่าวกันว่านางเป็นคนสวยมาก แต่เป็นคนยิ้มไม่เป็น ทำให้โจวอิวหวางกลุ้มใจมาก ถึงกับตั้งรางวัลไว้พันตำลึง สำหรับผู้ที่ออกอุบายให้นางยิ้มได้ วันหนึ่ง คิดอุบายได้ด้วยการจุดพลุให้อ๋องต่าง ๆ เข้าใจว่า ข้าศึกบุกเมืองหลวงแล้ว เมื่อยกทัพมาถึงกลับไม่มีอะไร ทำให้เปาสียิ้มหัวเราะออกมาได้ แต่อ๋องต่าง ๆ โกรธมาก แล้วในที่สุด ก็มีข้าศึกยกมาตีเมืองหลวงจริง ๆ โจวอิวหวางได้จุดพลุขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่มีอ๋องคนไหนเชื่อ เลยไม่มีใครยกทัพมาช่วย ข้าศึกจึงตีเมืองได้ โจวอิวหวางถูกฆ่าตาย นางเปาสีถูกจับตัวไป ยิ้มของนางต่อมาถูกเรียกว่า "ยิ้มพันตำลึงทอง" ซึ่งเป็นยิ้มที่นำความวิบัติ มาสู่ราชวงศ์โจวโดยแท้ ต่อมา พวกอ๋องต่าง ๆ ได้ยกทัพมาช่วยตีข้าศึก แล้วตั้งโจวผิงหวาง โอรสของโจวอิวหวาง เป็นกษัตริย์ต่อไป ราชวงศ์โจวจึงต้องย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่ลกเอี๋ยง (ลั่วหยาง ในปัจจุบัน) ซึ่งอยู่ทางตะวันออก เรียกว่า ราชวงศ์โจวตะวันออก หรือ ตงโจว (Eastern Zhou) หลังจากนั้น ราชวงศ์โจวก็บัญชาอ๋องต่าง ๆ ไม่ได้อีกต่อไป เนื่องจากอ๋องต่าง ๆ ต่างแข็งเมืองและรบกันเองระหว่างแว่นแคว้นเพื่อต้องการเป็นใหญ่

ยุคชุนชิวและยุคจ้านกว๋อและราชวงศ์โจวล่มสลาย

ยุคชุนชิว

        ชุนชิวเป็นยุคที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย แคว้นต่าง ๆ ไม่ไว้ใจซึ่งกันและกันเกิดสงครามระหว่างแคว้นผู้คนเดือดร้อนทุกข์ยากทำให้นักปราชญ์มีโอกาส เข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นปรัชญา ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม และการปกครอง เพราะผู้คนในเวลานั้นต่างก็ต้องการที่พึ่ง ผู้ปกครองก็ต้องการแม่ทัพผู้ปราชญ์เปรื่อง จึงทำให้มีผู้คนมากมายรับฟังนักปราชญ์ อย่างขงจื้อ เล่าจื่อ และซุนวูผู้เขียนพิชัยสงคราม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น